DSLR Camera
แค่บล็อกเล็กๆเกี่ยวกับ กล้อง DSLR-
ชัดตื้นชัดลึก
Posted on พฤษภาคม 11th, 2009 No commentsเรื่องที่มือใหม่หลายๆคนมักจะมีปัญหากันก็คือเรื่องความชัดตื้นชัดลึก เช่น ถ่ายภาพออกมาแล้วทำไมตานางแบบชัดข้างเดียว
จะไม่ขออธิบายไปทางวิชาการเพราะอ่านแล้วเดี๋ยวจะง่วง เอาเป็นว่า ปกติเราปรับกล้องก็จะมีค่าหลักๆ 3 อย่างคือ
- ISO เช่น ISO200
- Aperture เช่น f/3.5
- Shutter Speed เช่น 1/60s
ความชัดตื้นชัดลึกจะแปลผันโดยตรงกับค่า Aperture คือยิ่งเปิดรูรับแสงกว้าง (ค่า f น้อยๆ) ภาพก็จะยิ่งชัดตื้น หรือที่เรียกกันว่าหลังเบลอนั่นเอง ยิ่งปรับค่า f สูงขึ้น (รูรับแสงแคบ) ภาพก็จะยิ่งชัดลึก คือฉากหลังชัดไม่เบลอ
อีกปัจจัยที่มีผลต่อการถ่ายภาพให้หลังเบลอก็คือระยะของเลนส์ (Focal Length) เช่นเลนส์ 200mm ก็จะถ่ายออกมาได้ฉากหลังเบลอ มากกว่าเลนส์ 50mm เมื่อเปิดรูรับแสงที่ค่าเท่าๆกัน
ซึ่งเลนส์แต่ละตัวก็จะมีคุณสมบัติของมันว่าสามารถเปิดรูรับแสงได้กว้่างสุดเท่าไหร่ และหากเป็นเลนส์ซูม(เลนส์ที่สามารถเปลี่ยนระยะ focal length ได้) ที่ระยะซูมต่างกันก็อาจจะเปิดรูรับแสงกว้างสุดได้ไม่เท่ากัน โดยทั่วไปก็จะมีเลนส์อยู่ 2 แบบคือ
- เลนส์ซูมที่เปิดรูรับแสงได้กว้างสุดค่าเดียวเท่ากันหมดทุกช่วงซูม
- เลนส์ซูมที่เปิดรูรับแสงได้แคบลงทีละน้อยเมื่อซูมมากขึ้น
เลนส์ในข้อ 1 มักจะราคาแพงกว่าข้อ 2 และยิ่งเปิดรูรับแสงได้กว้างก็จะยิ่งแพงขึ้น เนื่องจากชิ้นเลนส์ก็จะต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นตามขนาดรูรับแสงนั่นเอง
สำหรับ canon ก็จะมีเลนส์ยอดฮิตอยู่รุ่นหนึ่งก็คือ EF 50 f1.8 II ซึ่งเป็นเลนส์ Fix (ปรับระยะซูมไม่ได้) ราคาไม่แพง ที่เปิดรูรับแสงได้กว้างถึง f1.8 เทียบกับเลนส์ kit 18-55is ที่มากับกล้อง ที่รูรับแสงกว้างสุด f5.6 ที่ระยะ 50mm จึงมักเป็นที่นิยมที่จะซื้อมาไว้ถ่ายภาพบุคคลเพื่อให้ได้ฉากหลังเบลอนั่นเอง (หมายเหตุ: เลนส์ตัวนี้มีข้อเสียเรื่อง focus ไม่ค่อยแม่น จึงทำให้ภาพที่ถ่ายบางภาพไม่ชัด)
EF 50 F1.8 II
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่ายิ่งเปิดรูรับแสงกว้างก็ยิ่งชัดตื้น นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถ่ายภาพออกมาตานางแบบจึงชัดแค่ข้างเดียว นั่นก็เป็นเพราะนางแบบยืนเอียงหน้าตาทั้งสองข้างอยู่ห่างจากกล้องไม่เท่ากัน และปรับค่ารูรับแสงไว้กว้างเกินไป (f1.8) จึงทำให้แค่ลึกไปอีกนิดเดียวก็เริ่มเบลอแล้วนั่นเอง บางครั้งตาชัดทั้ง2ข้างแต่หูเบลอ หากเกิดลักษณะเช่นนี้ก็ให้เพิ่มค่า f ขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้แบบชัดทั้งหน้า
-
Filter ถูกๆ ไม่ใช้ซะดีกว่า
Posted on พฤษภาคม 6th, 2009 No commentsพอดีซื้อกล้องมาใหม่ ก็ต้องใส่ UV filter หน้าเลนส์ซะหน่อย จุดประสงค์หลักๆก็คือเพื่อป้องกันหน้าเลนส์โดนอะไรเป็นรอยนั่นเอง
ตอนซื้อก็ไม่ได้คิดอะไรมากตามประสามือใหม่ เอาถูกๆไว้ก่อน ใช้ๆไปสักพักก็เริ่มจะเห็นข้อแตกต่างระหว่างของถูกกับของแพง ข้อเด่นๆเลยก็น่าจะเป็นเรื่องการเคลืิอบผิวเพื่อลดแสงสะท้อนนั่นเอง filter ที่แพงๆจะมีการเคลือบผิวอย่างดีหรือบางทีก็เคลือบหลายชั้น เพื่อลดการสะท้อนของแสง
มาดูภาพระหว่างใส่ filter กับไม่ใส่ filter กัน
เมื่อใส่ filter จะเห็นภาพสะท้อนจากแสงไฟได้อย่างชัดเจน(ผมเรียกว่า reflex ไม่รู้ถูกเปล่า) ซึ่งผมเคยลองเปรียบเทียบกับ filter ยี่ห้ออื่นที่ราคาพอๆกัน(ไม่กี่ร้อยบาท) แต่เห็นได้ว่ามีการเคลือบผิวมาดีกว่าพอสมควรเลย โดยภาพสะท้อนก็ยังคงมีให้เห็นแต่จะเห็นลางๆน้อยกว่านี้มาก ยิ่งหากเป็น filter ที่เคลือบผิวมาอย่างดีที่ราคาหลักพัน คงจะเกิดภาพสะท้อนให้เห็นเป็นเงารางๆน้อยกว่านี้มากหรืออาจจะไม่เกิดเลย(เป็นไปได้ยาก)
ซึ่งตรงนี้เป็นเรื่องของแสงสะท้อนระหว่าง เลน์ กับ filter ที่ใส่เข้าไป หากไม่ใส่ก็ไม่เกิด ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการเกิดแสง flare ที่เกิดจากการสะท้อนแสงระหว่างชิ้นเลนส์หลายๆชิ้นที่อยู่ในตัวเลนส์นะครับ
-
แนะนำวิธีย่อรูปเพื่อโหลดขึ้นเว็บ
Posted on พฤษภาคม 1st, 2009 No commentsสำหรับการย่อรูปนั้นสามารถใช้โปรแกรมได้หลากหลาย มีโปรแกรมมากมายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Lightroom, AcdSee หรือโปรแกรมที่แถมมากับกล้องที่ท่านซื้อ
วันนี้จะมาแนะนำโปรแกรมย่อภาพที่สามารถใส่กรอบและตัวอักษรลงในภาพได้ ที่สำคัญเป็น freeware คือโหลดมาใช้ได้ฟรีไม่ต้องเสียเงินนั่นเอง
เจ้าโปรแกรมที่พูดถึงนี้ก็คือ FastStone Photo Resizer จากค่าย FastStone นั่นเอง Download ได้ที่นี่ ถ้าเลือกแบบ exe ก็จะมีตัว install มาให้ด้วย ส่วนแบบ portable สามารถ run ได้เลยเหมาะกับการพกติดไปกับ usb disk เป็นอย่างมาก ขนาดไฟล์ไม่ถึง 2MB
เมื่อได้โปรแกรมมาแล้วก็ทำการติดตั้งและเรียกโปรแกรมขึ้นมาทำงาน หน้าตาก็จะเป็นดังภาพ
วิธีการใช้งานแบบง่ายๆคือย่อขนาดอย่างเดียว ก็ทำการเลือกไฟล์จากทางหน้าต่างซ้ายมือ แล้วคลิกที่ปุ่ม Add ไฟล์ก็จะถูกเพิ่มเข้าไปใน List ทางขวามือ
เลือก Output Format เป็น jpg แล้วคลิกที่ปุ่ม Settings ทางด้านท้ายเพื่อกำหนดค่า
- Quality เป็นการกำหนดคุณภาพของไฟล์เลขยิ่งมากภาพก็ยิ่งชัดแต่ขนาดไฟล์ก็จะใหญ่ขึ้นด้วย ปกติกำหนดในช่วง 70-90
- Progressive จะทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่เวลาโหลดภาพขึ้นเว็บภาพจะค่อยๆแสดงได้ทันทีที่เริ่มโหลด ไม่ต้องรอให้โหลดจนครบไฟล์แล้วภาพถึงจะขึ้นทีเดียว
- Keep Exif / IPTC data จะเป็นการ copy ค่าต่างๆที่ฝังอยู่ในภาพมาด้วย เช่นค่า Shutter speed ค่า ISO
คลิกที่ปุ่ม Browse ด้านล่าง Settings เพื่อเลือก Folder ที่จะเก็บไฟล์
จากนั้นติ๊กถูกที่ Use Advanceก Options (Resize …) ก็จะมีปุ่ม Advanced Options โผล่มา ก็คลิกที่ปุ่ม Advanced Options เพื่อกำหนดขนาดที่จะ Resize รวมถึงสามารถใส่กรอบหรือเพิ่มตัวอักษรได้ตามต้องการ
หากต้องการเพิ่มตัวอักษร ใส่กรอบ หรืออื่นๆ ก็สามารถเลือก option ไปได้ทีละอันตามต้องการ เสร็จแล้วคลิกที่ปุ่ม OK
เมื่อตั้งค่าต่างๆเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คลิกที่ปุ่ม Convert เพื่อเริ่มการแปลงภาพตามที่ตั้งไว้
ตัวอย่างภาพที่ย่อขนาดและใส่กรอบ
คราวนี้คุณก็สามารถเอาภาพที่ชื่นชอบมาย่อขนาดพร้อมใส่กรอบเพื่อเอาไปโหลดขึ้นเว็บโชว์เพื่อนๆได้ไม่ยากแล้วใช่มั้ยล่ะครับ
-
รีวิวเลนส์รุ่นต่างๆ
Posted on เมษายน 24th, 2009 No commentsที่มา: dpreview.com
เจอมาอีกเว็บนึงครับมี review ไว้หลายรุ่นมาก http://www.photozone.de/
-
สายลั่นชัตเตอร์ D.I.Y สำหรับกล้อง Canon 450D
Posted on เมษายน 24th, 2009 No commentsมาทำสายลั่นชัตเตอร์สำหรับกล้อง Canon EOS 450D กันเถอะ (งบประมาณ 200บ)
หน้าตาก็ประมาณนี้ครับ
แต่ถ้าใครไม่อยากเสี่ยงทำเองก็ซื้อ remote เทียบได้ในราคาประมาณ 300บ เหมือนกันครับ หน้าตาก็ประมาณนี้ กดแล้วเลื่อนขึ้นข้างบนก็จะเป็นการกดค้างไว้ (B)
มาดูผังวงจรกันครับ ง่ายมากครับเป็นการต่อ switch ธรรมดาๆเท่านั้น ถ้าใครต่อ switch ไฟบ้านเป็นล่ะก็ ต้องทำเป็นแน่นอนครับ เส้นสีน้ำเงินคือ โฟกัส ส่วนเส้นสีแดงคือ ชัตเตอร์
สามารถใช้ได้กับกล้องรุ่นต่อไปนี้
- EOS-450D
- EOS-400D
- EOS-350D
- EOS-300D
รุ่นอื่นน่าจะคล้ายๆกันแต่ต้องเปลี่ยน jack ที่เสียบเข้ากับกล้องให้ตรงรุ่น สำหรับรุ่นของเราจะเป็น jack stereo ตัวผู้ ขนาด 2.5มม (ขนาดเท่ากับ small talk ของ motorola ซึ่งจะเล็กกว่า jack หูฟัง stereo ปกติทั่วๆไปที่เป็นขนาด 3.0มม อ้อ สังเกต jack ดูให้ดีนะครับ จะเป็นแบบ 3 ขั้ว ไม่ใช่ 4 ขั้ว)
ก่อนเริ่มลงมือทำ มาดูงานแบบต่างๆที่คนอื่นทำไว้กันก่อนครับจะได้นึกภาพออก คลิกดูที่นี่เลยครับ
เป็นไงครับเห็นภาพแล้วน่าจะกระจ่างเลยทีเดียว มาเริ่มกันเลยครับ
อุปกรณ์ที่ต้องมีคือ
- อุปกรณ์สำหรับบัดกรี
1. หัวแร้งแช่หรือหัวแร้งปืน (แบบถูกๆ ประมาณ 90บ หรือจะซื้อดีหน่อยก็ไม่ว่ากันเพราะเก็บไว้ใช้บัดกรีอย่างอื่นได้อีก)
2. ตะกั่ว (ขดเล็กๆ ประมาณ 25บ ใช้จริงๆนิดเดียวเพราะมีจุดบัดกรีแค่ไม่กี่จุด) - อุปกรณ์ตัว remote
1. jack stereo d2.5m ตัวผู้ (ประมาณ 25บ)
2. สายไฟ แนะนำเป็นสายชีล stereo (ประมาณ 15บ/ม.)
3. switch กดติดปล่อยดับ 2 ตัว สำหรับ โฟกัส และ ลั่นชัตเตอร์ (ประมาณตัวละ 10บ)
4. switch กดติดกดดับ หรือ สวิทช์โยก 1 ตัว (สำหรับ เปิดชัตเตอร์ค้าง) (ประมาณตัวละ 15บ)
5. กล่องขนาดพอเหมาะสำหรับติด switch (ประมาณ 20บ)
อุปกรณ์ทั้งหมดหาซื้อได้ไม่ยาก มีขายที่ร้าน อมร, ร้าน ณัฐพงษ์ และ ร้านอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ย่าน บ้านหม้อ (บ้านหม้อ อยู่ติดริมคลองหลอดใกล้ๆกับกรมที่ดิน ดูแผนที่ ห่างจากสนามหลวง 1.5 กม)
ได้อุปกรณ์มาแล้วก็ประกอบตามผังวงจรด้านบนได้เลยครับ ไม่ยากใช่มั้ยล่ะครับ
มาดูภาพตัวอย่าง Remote ที่ผมทำเองกับมือกัน
แบบที่ 1 - หนาหน่อยเพราะปุ่มที่ซื้อมามันสูงก็เลยต้องใส่กล่องหนาตามปุ่ม
ปุ่มสีเขียว - ชัตเตอร์
ปุ่มสีเหลือง - โฟกัส
ปุ่มสีแดง - ชัตเตอร์ Bulb (กดติดกดดับ)แบบที่ 2 - แบบบางแต่ไม่มีปุ่ม Bulb ใช้กดค้างเอาเอง แต่ดูสวยกว่าแบบแรก หนาเพียง 9.5มม. (2.7 x 4.7 x 0.95 ซม.)
ความเห็นล่าสุด